ประวัติกรมกำลังพลทหารอากาศ
ครั้นปี พ.ศ.๒๔๘๐ กิจการของกรมทหารอากาศ ได้ขยายตัวเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ จนทางราชการเห็นสมควรตั้งเป็นกองทัพได้ กระทรวงกลาโหมจึงได้ยกฐานะกรมทหารอากาศขึ้น เป็นกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๘๐ ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีผู้บังคับบัญชาการทหารอากาศ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ กองทัพอากาศ และในโอกาสเดียวกันนี้ได้จัดตั้งกรมเสนาธิการทหารอากาศขึ้นด้วย โดยมีส่วนราชการขึ้นอยู่ ๔ หน่วย คือ กรมเสนาธิการทหารอากาศ ได้โอนหน้าที่ทางฝ่ายเสนาธิการ ของแผนกเสนาธิการกรม และหน้าที่สัสดีมาขึ้นอยู่ในแผนกที่ ๑ กรมเสนาธิการการทหารอากาศ ตั้งแต่นั้นมา ส่วนหน้าที่ทะเบียนประวัติ – สำมะโนครัว – บำเหน็จบำนาญ ยังคงอยู่ใน แผนกการคดี – บัญชีพล ขึ้นตรงต่อกองบังคับการตามเดิม ต่อมา แผนการคดี – บัญชีพล ได้แยกตัวออกจากกัน โดยแยกเป็นแผนกทะเบียนพล บก.ทอ. และแผนกการคดี บก.ทอ. คงขึ้นตรงต่อ บก.ทอ. ครั้นปี พ.ศ.๒๔๙๕ ได้มีการปรับปรุงอัตรากำลังพลขึ้นใหม่ โดยขยายส่วนราชการในกรมเสนาธิการทหารอากาศ ขึ้นเป็นกรมย่อย ขึ้นตรงต่อเสนาธิการทหารอากาศ ยกฐานะแผนกที่ ๑ กรมเสนาธิการ ทหารอากาศขึ้นเป็นกรมกำลังพลทหารอากาศ เมื่อ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๙๕ มีผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศฝ่ายกำลังพล เป็นผู้บังคับบัญชา (อัตรากองทัพอากาศ ๒๔๙๕ ได้ประกาศใช้ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (พิเศษ) ที่ ๑๒/๒๐๐๙ ลง ๒๘ มกราคม ๒๔๙๖ ทั้งนี้ ตั้งแต่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๙๕) ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๙๘ ทางราชการเห็นว่า การบริหารราชการตามอัตรา ทอ.๒๔๙๕ นั้น ยังไม่อาจทำให้กิจการของกองทัพอากาศเจริญก้าวหน้ารวดเร็วสมความคาดหมายและทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดส่วนราชการขึ้นใหม่ และได้กำหนดเป็นอัตรากองทัพอากาศ ๒๔๙๘ โดยยุบส่วนที่ไม่จำเป็น อันเป็นเหตุให้งานล่าช้า กับได้ขยายและจัดตั้งกิจการบางส่วนขึ้น เพื่อบริหารงานให้สมบูรณ์ และเจริญรอยตามนโยบายของรัฐบาล ฯ จึงยกฐานะของกรมเสนาธิการทหารอากาศ ขึ้นเป็น กองบัญชาการกองทัพอากาศ มีกรมกำลังพลทหารอากาศ เป็นส่วนราชการขึ้นตรงอยู่ด้วยกรมหนึ่ง และเรียกตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศฝ่ายกำลังพล เป็น “เจ้ากรมกำลังพลทหารอากาศ” สืบต่อมา ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๔๙๘ (อัตรากองทัพอากาศ ๑๔๙๘ ได้ประกาศใช้ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๑๔/๓๙๖๓ ลง ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ เรื่อง ให้ใช้ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยกำหนดเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ ในเวลาปกติ พ.ศ.๒๔๙๘ ทั้งนี้ ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๔๙๘) |